สายเรือ ONE กำลังสั่งต่อเรือใหญ่ที่สุดในโลก!!

ย้อนไป ปี ค.ศ. 1956 หรือว่า 65 ปีที่แล้ว มัลคอม แม็คลีน ได้คิดค้นนวัตกรรมการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยยกตู้สินค้าทั้งตู้ไปวางบนเรือเป็นครั้งแรก โดยเรือขนส่งสินค้าลำแรกคือ Ideal-X วิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา มีขนาดบรรทุน เพียง 58 ตู้สินค้าเท่านั้น

มาจนล่าสุด สายเรือ ONE หรือ Ocean Network Express ประกาศที่จะสั่งต่อเรือขนส่งสินค้า ขนาดบรรทุก มากกว่า 24,000 TEU (ตู้มาตรฐาน 20 ฟุต) หรือใหญ่กว่าจุดเริ่มต้นถึง 400 เท่า

ที่สำคัญไม่ได้จะต่อแค่ลำเดียว แต่สั่งไปรวดเดียว 6 ลำ!

ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามกันเลย

=========================

นำเข้า “ความรู้” ส่งออก “ความคิด” ติดตาม

“นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า”

=========================

1) ONE หรือ Ocean Network Express ได้ตกลงสัญญากับทางบริษัทต่อเรือ Shoei Kisen Kaisha ของญี่ปุ่น เพื่อสั่งต่อเรือในระดับ Ultra Large Container Ships (ULCS) มีขนาดบรรทุก มากกว่า 24,000 TEU จำนวน 6 ลำ โดยมีสัญญาส่งมอบกันภายในระยะเวลา 15 ปี

2) ทั้งนี้คาดการณ์ว่า จะมีการส่งมอบเรือลำแรกกัน ในปี 3-4 ปีข้างหน้า คือช่วงปี ค.ศ. 2023 – 2024

3) โดยเรือรุ่นใหม่นี้ จะช่วยทำให้เกิดการประหยัดขนาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สภาวะแวดล้อม โดยได้มีการติดตั้งระบบบำบัดลดกำมะถัน ตามมาตรฐานใหม่ของ IMO

4) สำหรับแชมป์เก่า ของเรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็คือเรือ Algeciras ของสายเรือ HMM (Hyundai Merchant Marine) แห่งเกาหลี ที่มีขนาดบรรทุก 24,000 ตู้ หรือ 4 เทียบเท่าสนามฟุตบอล

5) สำหรับสายเรืออื่นก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทาง Hapag-Lloydก็เพิ่งสั่งเรือ ขนาด 23,500 TEU ไปรวดเดียว 6 ลำ โดยกำหนดส่งมอบ เมษายน ถึง ธันวาคม ปี ค.ศ. 2023

6) โดยเรือดังกล่าวที่ HMM สั่งนั้น ออกแบบมาให้ใช้ LNG ได้ด้วย เพื่อให้ประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าน้ำมัน และงบลงทุนของโครงการนี้กว่า 30,000 ล้านบาท มีทางบริษัทต่อเรือของเกาหลีใต้ DSME เป็นผู้ดำเนินการต่อเรือ

7) อย่างไรก็ดีทางผู้บริหารค่าย 2M อย่าง Maersk Line และ MSC ก็ยังมองว่าเรือที่ใช้เชื้อเพลิง LNG ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม มีความเสี่ยงในด้านเทคโนโลยีมากเกินไป

8) หากพิจารณาปริมาณการสั่งต่อเรือใหม่เทียบปริมาณเรือทั้งหมด หรือ Orderbook to fleet ratio จะพบว่า ก็ได้แตะจุดต่ำสุดในรอบ 30 ปี ไปเมื่อเดือน ตุลาคมที่ผ่านมา โดย Orderbook to fleet ratio ลดลงเหลือเพียง 8% เท่านั้น เทียบจุดสูงสุด ช่วงที่ค่าขนส่งแพงๆ คือ ปี ค.ศ. 2008 ที่มี Orderbook to fleet ratio สูงถึง 64%

โดยปริมาณสัดส่วนการต่อเรือใหม่ที่ลดลง ก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และกำลังการขนส่งในระบบก็เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

9) จะเห็นได้ว่าภาพในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ก็ยังไม่มี Supply เรือใหม่ๆ เข้าตลาด หากทางสายเรือยังสามัคคีกัน เราก็น่าจะเห็นค่าขนส่งอยู่ในระดับสูงกว่าที่เคยเจอเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา (แต่ก็คงไม่ได้สูงจนเว่อร์แบบช่วงนี้)

แต่ในระยะกลาง 3-4 ปี ปริมาณเรือขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ค่าขนส่งลดลงทางทะเลลดลงได้ แต่ข้อจำกัดของเรือขนาดใหญ่ ถึงแม้จะต้นทุนต่ำ แต่ก็ต้องแวะพักหลายจุด ผู้ที่ นำเข้า ส่งออก ระยะทางไกลๆ ก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์

——————————–

ส่งท้าย สำหรับ เพื่อนผู้ประกอบการ ที่กำลังประสบปัญหา หาตู้ไม่ได้ หรือหาได้ก็สู้ราคาไม่ไหว ทางแอดมินแนะนำบริการเปรียบเทียบค่าขนส่งทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก นั่นก็คือสตาร์ทอัพไทยอย่าง “ZUPPORTS”

ทีมงานยินดีช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกท่าน สนใจลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้เลยที่ https://zupports.co/register/