ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มต้นจากการรับหิ้วเอกสาร B/L

เพื่อนๆ ในวงการขนส่งระหว่างประเทศ น่าจะรู้จัก B/L หรือ Bill of Lading (ใบตราส่งสินค้า) กันเป็นอย่างดี โดยที่ ใบ B/L ต้องส่งจากต้นทาง ไปถึงผู้รับปลายทาง ก่อนที่สินค้าจะไปถึงที่หมาย ซึ่งปัจจุบัน ก็มีวิธีการที่จะไม่ต้องส่งเอกสาร B/L ตัวจริงไปให้ผู้รับปลายทางกัน ไม่ว่าจะเป็น Surrender, Telex release หรือ Express Bill of lading

 

แต่หากเราย้อนกลับเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ก็ต้องบอกว่า การส่ง B/L จะส่งกันทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ เท่านั้น ทำให้หลายๆ ครั้งเอกสาร ไปถึงผู้รับสินค้าปลายทาง ช้ากว่าเรือขนส่งสินค้า! ตรวจปล่อยสินค้าไม่ได้ กลายเป็นเรือถึงเร็วไปก็ไม่มีประโยชน์ ของต้องไปกองที่ท่าเรือ ปวดหัวได้อีก!!

 

แต่ทุกปัญหา ก็เป็นโอกาสทางธุรกิจได้เสมอ…

 

โดย Larry Hillblom นักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนีย เขาหารายได้เสริมด้วยการเป็นคนส่งเอกสารให้บริษัทประกันภัย โดยมีวิธีการก็คือ การ “หิ้ว” เอกสารขึ้นเที่ยวบินสุดท้ายของวัน และเดินทางกลับมาช่วงเช้าของอีกวันหนึ่ง เขารับงานแบบนี้สูงสุดถึง 5 ครั้งต่อสัปดาห์

 

ที่บริษัทประกันภัย นั้นเอง ที่ทาง Larry Hillblom ได้พบกับ Adrian Dalsey ซึ่งทำงานเป็นพนักงายขายประกัน ทั้งสองคนเกิดความคิดกันว่า อยากให้บริการส่งเอกสารเร่งด่วนแบบนี้ เพื่อแก้ปัญหาเอกสารการเดินเรือ ที่ส่งถึงที่หมายช้ากว่าเรือ…

 

ในช่วงปี ค.ศ.1969 ภายหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ไม่กี่เดือน Adrian Dalsey และ Larry Hillblom จึงชวนเพื่อนอีกคน คือ Robert Lynn ตัดสินใจที่จะตั้งบริษัทด้วยกัน วิธีการตั้งชื่อก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

 

พวกเขาได้ตัดสินใจตั้งชื่อ บริษัท โดยใช้ตัวอักษรแรก ของนามสกุล ของทั้ง 3 คน ซึ่งก็คือ
Dalsey
Hillblom

Lynn

 

ซึ่งก็คือ “DHL” ที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี

 

ในช่วงเริ่มต้น เส้นทางแรกที่เปิดให้บริการก็คือ จากซานฟรานซิสโกไปฮาวาย โดยทาง DHL ใช้วิธีให้ตั๋วฟรีกับผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน แลกกับพื้นที่ว่างในกระเป๋าเดินทาง…ที่ต้องใส่เอกสารใบ B/L ไปส่งให้ลูกค้าปลายทาง

 

จะเรียกได้ว่า อเมริกัน ใช้แนวคิดแบบ UBER หรือ Sharing Economy มาตั้งแต่ 60 กว่าปีที่แล้วก็ได้ คือ “รับจ้างหิ้วเอกสาร”

 

DHL ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยความรวดเร็วในการส่งเอกสาร ที่เหนือกว่าไปรษณีย์แบบดั้งเดิม แบบขาดลอย ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายกิจการไปทั่วโลก

 

จนในช่วงปี ค.ศ. 1998 ทางกิจการไปรษณีย์ของเยอรมัน หรือ Deutsche Post ได้เข้าซื้อหุ้นกิจการ DHL และนำไปสู่การควบรวมกิจการ ในปี ค.ศ. 2002

 

ปัจจุบัน DHL เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยรายได้กว่า 61,500 ล้านยูโร หรือกว่า 2 แสนล้านบาท

 

มีคำกล่าวว่าคนอเมริกัน เป็นชนชาติที่ช่างจินตนาการ หาวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา จนก่อให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ มากมายซึ่งยุคนั้นคำว่า “สตาร์ทอัพ” ยังไม่ได้บูม แบบปัจจุบัน แต่หากจะบอกว่า DHL เป็นบริษัท “สตาร์ทอัพ” ที่เกิดจากไอเดีย และการลงมือทำของคน 3 คน  ถือเป็นสตาร์ทอัพ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่สุด บริษัทหนึ่ง ก็คงเรียกแบบนั้นได้

 

ในชีวิตคนเรา ได้เจอปัญหาต่างๆ มากมาย หากเรามองปัญหาโดยเริ่มจากข้อจำกัด เช่น ไม่มีเงินทุน ไม่มีเครื่องบิน จะให้บริการส่งพัสดุแบบเร่งด่วนได้อย่างไร? เราก็คงไม่ได้เริ่มธุรกิจ…

 

แต่หากเรามองกลับด้าน โดยมองหาวิธีที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ โดยการประยุกต์สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็จะทำให้เราไปต่อได้ อยู่ที่เราจะใช้เลนส์ อะไรในการมอง….

 

—————–

(สำหรับเพื่อนๆที่สนใจทำสตาร์ทอัพ) ลองมาปลดล็อกศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณให้พุ่งทะยานสู่ธุรกิจที่เกิดขึ้นได้จริง เสนอ Idea เข้ามาสมัคร ZERO TO ONE by SCG

.
Incubator ที่เป็นสนามจำลองให้คุณได้ฝึกฝน ติดอาวุธทางไอเดีย พร้อมเผชิญกับนักลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง!

.

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยที่ http://bit.ly/3jWjDf8

 

========================

บริหารงาน จัดซื้อ นำเข้า ส่งออก ในยุคดิจิทัล

เลือกใช้ ZUPPORTS

ลงทะเบียนเลยที่ zupports.co/register

=========================

 

พิเศษ! กลุ่มไลน์ Openchat สำหรับ คนในวงการ นำเข้า ส่งออก เข้ามาสอบถามข้อมูล ติดตามข่าวการค้า การขนส่งระหว่างประเทศกันได้ที่ https://bit.ly/3seJRLk

 

ข่าวสารอื่นๆ