เพื่อนๆ อาจสงสัย (เหมือนกับที่สงสัยในประเทศไทยเราเอง) ว่าทำไมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในญี่ปุ่นดูทั้งตัวเลขก็เพิ่มไม่มาก
และข่าวก็ดูไม่รุนแรง ทั้งๆที่ญี่ปุ่น มีรายงานผู้ติดเชื้อหลังจีนไม่กี่วัน และมีกรณีเรือไดมอนด์ ปรินเซส ไปจอดลอยลำอยู่หน้าท่าเรือโยโกฮาม่า อีกด้วย
โดยมีนักศึกษาชาวอินเดียคนหนึ่ง ที่พ่อแม่บอกให้กลับอินเดียซักพักหนึ่ง เพราะว่าช่วงนั้นสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นดูแย่มากๆ และกลับไปเรียนใหม่หลังจากญี่ปุ่นควบคุมโรคได้แล้ว
แต่นักศึกษาท่านนี้ ไม่ได้กลับอินเดีย และยังใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น
โดยบอกว่าเท่าที่ผ่านมาทุกอย่างยังทำการเป็นปกติ ทั้งออฟฟิศ ร้านอาหาร รถไฟความเร็วสูง ทั้งๆที่ ญี่ปุ่นมีสัดส่วนผู้สูงอายุจำนวนมากเหมือนอิตาลี และมีชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่สูงมาก รวมไปถึงนักท่องเที่ยว
ซึ่งตอนนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตร คือ ญี่ปุ่น จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้ประกาศ Lockdown ปิดประเทศ
ในขณะที่อินเดีย ตามมาทีหลังแต่ตอนนี้ปิดประเทศไปเรียบร้อย และตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
หากดูรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดของทั้ง 2 ประเทศ (แถมไทยให้ด้วย)
– ญี่ปุ่น 2,384 ราย (รายงานผู้ติดเชื้อคนแรก 14 ม.ค. 2563) – ไม่รวมผู้ป่วยบนเรือสำราญ
– อินเดีย 2,032 ราย (รายงานผู้ติดเชื้อคนแรก 29 ม.ค. 2563)
– ไทย 1,875 ราย (รายงานผู้ติดเชื้อคนแรก 12 ม.ค. 2563)
โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดีย ช่วงหลังจี้เข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว
(ซึ่งยังไงอินเดียก็คงแซง เพราะเพิ่งเกิดเคส Super Spreader และประชากรพอๆกับจีน)
เราลองไปดูสมมติฐาน ของนักศึกษาคนนี้กันว่า
ทำไมญี่ปุ่นยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ปั่นป่วนกันแบบนี้
หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามกันเลย
════════════════
ช่วย SMEs นำเข้า ส่งออก
════════════════
1) คนญี่ปุ่นสวมหน้ากากเป็นปกติอยู่แล้ว
สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเมืองหลวงคือ โตเกียว หากเป็นช่วงเวลาทำงานก็จะเห็นเหล่าพนักงานบริษัท ใส่ชุดสูทเดินกันขวักไขว่ และสิ่งที่ต้องเห็นก็คือ หลายๆ คนใส่หน้ากากกันอยู่แล้ว
นักศึกษาท่านนี้ประมาณการว่า 60% ของคนส่วนใหญ่ ใสหน้ากาก
โดยคนที่รู้สึกเจ็บคอเล็กน้อยก็จะใส่หน้ากาก หรือคนที่ทำงานในกลุ่ม พนักงานประชาสัมพันธ์ หมอ พยาบาล ตำรวจ พนักงานทำความสะอาด ก็จะใส่หน้ากากเป็นปกติอยู่แล้ว
ที่บ้านแต่ละคน ก็ยังมี “Kodomo mask” คือหน้ากากสำหรับเด็ก และหน้ากากปกติ ติดบ้านกันไว้อยู่แล้ว
2) บ้านเมืองสะอาด รักษาความสะอาดได้ดี
เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่แล้ว คือ คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย ไม่ทิ้งขยะมั่วซั่ว รักษาความสะอาด โดยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเลยทีเดียว
ประเด็นสำคัญก็คือ ญี่ปุ่นเขาสอนคนของเขาตั้งแต่ยังเด็กๆ ชั้นอนุบาล ให้รักษาความสะอาด และมีมารยาทที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม
สำหรับข้อนี้ แอดมินเสริมคือ ญี่ปุ่นใช้วิธีสอนเด็ก กับทุกๆเรื่องจริงๆ
โดยแอดมินเคยไปดูงาน ที่ญี่ปุ่นสามารถฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมที่ทรุดโทรม จากปัญหามลพิษช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ (เพื่อนๆ อาจจะคุ้นๆ กับโรคจากสารปรอท เช่น โรคมินามาตะ)
เคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ที่วิทยากรบรรยาย ก็คือ
เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้ “ต้องสอนเด็ก”
ไม่ใช่เพราะเด็กวันนี้คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า แต่เด็กนั่นแหล่ะ ที่จะกลับบ้านไปบอกสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากโรงเรียน ทำให้พ่อแม่เกิดความละอายจนต้องทำตาม
3) คนญี่ปุ่นไม่จับมือทักทายกัน แต่ใช้การคารวะ
ข้อนี้คล้ายๆ คนไทย ที่นายกฯ ก็พยายามโปรโมต การไหว้ของไทย ช่วยลดการติดเชื้อโควิด-19
แต่พอบอกไหว้ปุ๊บ ทุกประเทศที่ไหว้ ก็เคลมแบบเดียวกันซะเลย เช่น อินเดีย/เนปาล ก็ “นมัสเต” หรือ ไหว้ เช่นกัน
4) การล้างมือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ตั้งแต่ยังไม่มีไวรัสโควิด-19 ทั้งห้องน้ำสาธารณะ หรือตามออฟฟิศ ต่างๆ ในญี่ปุ่น ก็มีทั้งสบู่ และน้ำยาฆ่าเชื้อ กันเป็นปกติอยู่แล้ว
5) คนญี่ปุ่นนอกจากล้างมือ แล้วยังช่วยทำความสะอาดอ่างล้างมือ ด้วย
สำหรับห้องน้ำสาธารณะ หรือห้องน้ำตามสถานีรถไฟ เวลาที่คนญี่ปุ่นใช้งาน ล้างมือ ก็จะทำความสะอาดอ่างล้างมือไปด้วย เพื่อให้คนต่อไปใช้งานอย่างสบายใจ
6) คนญี่ปุ่นพกทิชชู่เปียก
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า วัฒนธรรมญี่ปุ่นกับคนไทย นี่ใกล้กันมากๆ
(อาจยกเว้นเรื่องการทำความสะอาดเพื่อให้คนอื่นมาใช้ต่อนะ)
7) และข้อสุดท้าย คือ ปกติคนญี่ปุ่นเขาก็ไม่ชอบสุงสิงกันอยู่แล้ว
คือเรียกได้ว่า เกิดมาเพื่อ Social Distancing!
พออ่านจบก็พบว่าหลายๆข้อที่คนญี่ปุ่นปฏิบัติ ก็คล้ายๆ กับคนไทยเหมือนกันนะ
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องระลึกไว้เกี่ยวกับเรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นอยู่ 2-3 ประเด็นก็คือ
หนึ่ง เกณฑ์ในการตรวจวัด โรคโควิด-19 เข้มงวดมาก คือ ผู้ป่วยต้องมีไข้มาแล้ว 4 วัน และต้องเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือมีอาการหายใจลำบากชัดเจนเท่านั้น จึงจะได้รับการตรวจ
คือ ไม่ได้ตั้งเป้า ตรวจให้เยอะที่สุด แต่ทำเพื่อการสงวนทรัพยากรที่มีจำกัดอยู่แล้ว เอาไว้รักษาผู้ป่วยหนัก และเอาไว้จัดการกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจริงๆ
สอง มีรายงานว่าแพทย์ในญี่ปุ่น ใช้ CT scan ในการตรวจเช็คความผิดปกติของปอด และหากพบก็จะรักษาเลย โดยไม่ต้องตรวจ โควิด-19 ซ้ำ ซึ่งในกรณีนี้จะไม่ถูกนับรวมในตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19
และสาม ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมตัวเลขเพิ่มขึ้น หลังจากที่ประกาศเลื่อนโอลิมปิกไปปีหน้า
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางวัฒนธรรมหรืออะไรก็ตาม ทุกๆประเทศก็ยังวางใจไม่ได้ ต้องยึดมั่นใน Social Distancing และการรักษาความสะอาด
เพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อไม่เพิ่มสูงเกินกว่า กำลังที่แพทย์จะรับมือไหว
โดยทางนายกฯ ญี่ปุ่นอย่าง ชินโสะ อาเบะ ถึงแม้ตัวเลขผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังยืนยัน ไม่ปิดประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เพราะจะเกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างมหาศาล
แต่เลือกใช้กลยุทธ์แบบไทยเรา ก็คือ การสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เป็นจุดๆไป
ตัวอย่างเช่น แหล่งสังสรรค์ของมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่น อย่าง “คาราโอเกะ” ก็โดนปิดไปเรียบร้อย…..
ส่งท้าย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นช้า อย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมถึงไทย อาจมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศเหล่านี้นิยมบริโภค
และอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นน้อยมากๆ
สิ่งนั้นก็คือ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ชาไข่มุก” นั่นเอง
(คลายเครียด Work from Home กันเนอะ)
════════════════
ช่วย SMEs นำเข้า ส่งออก
════════════════
ที่มา:
💡ไม่อยากพลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ กดติดตาม
“นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า”
❤️ ช่วย SMEs ก้าวไกลไปทั่วโลก
👫 ร่วมกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้า–ส่งออก