ไม่แปลกใจที่จีน กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
แอดมินเคยได้เล่าเรื่องราวที่ทำให้สตาร์ทอัพจีนยิ่งใหญ่ได้ แบ่งเป็น 3 ตอน โดยยกตัวอย่างเรื่องราวของ Xiaomi และ Meituan Dianping เป็นต้น
*เพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน ติดตามอ่านย้อนหลังได้ ที่ลิงค์ด้านล่างนี้
https://zupports.co/how-china-nuture-startups-xiaomi/
และล่าสุด จีนก็แสดงให้โลกเห็น อีกครั้ง
ในการทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ให้เป็นไปได้…
ทั้งๆที่ COVID-19 ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แถมอากาศหนาวเย็น เหมาะแก่การแพร่ระบาด
แต่สถานการณ์ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าประเทศจีน สามารถสยบ COVID-19 เอาไว้ได้แล้ว
โดยจำนวนติดเชื้อล่าสุด ลดเหลือหลักต่ำร้อยคนต่อวัน และจำนวนผู้ที่หายป่วยก็เยอะกว่าผู้ป่วย เตียงที่โรงพยาบาลก็เริ่มว่างแล้ว
เจ้าหน้าที่ของ WHO ระบุว่า หากจีนควบคุมไม่ทันการณ์ น่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ อีกหลักแสนคน ในจีน
บทความนี้เป็นการถอดบทเรียนความสำเร็จของจีน จากเจ้าหน้าที่ของ WHO ที่ไปลงสนาม ตรวจสอบในจีนด้วยตัวเอง
หากพร้อมแล้ว เราไปดูบทเรียนทั้ง 5 ข้อกันเลย
════════════════
ช่วย SMEs นำเข้า-ส่งออก
════════════════
1) ให้ยาตามอาการ
ยาในที่นี้ หมายถึง มาตรการที่จีน ใช้ในการต่อสู้ไวรัส COVID-19 นี้
โดยเวลาพูดถึง COVID-19 คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงมาตรกการปิดเมือง ตามภาพที่เราเห็นจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มีประชากรกว่า 15 ล้านคน
แต่จริงๆ แล้วจีน เลือกใช้มาตรการตาม สถานการณ์การแพร่ระบาด ทั้งนี้เพื่อสามารถบริหารทรัพยากรที่มี ให้มีประสิทธิภาพด้วย
เพื่อนแอดมิน ที่อยู่ชานเมืองหน่อยในจีน ก็บอกว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก เหมือนที่ข่าวออกมา เต็มที่ก็มีห้ามออกจากบ้าน ไม่กี่วัน แต่สถานการณ์ไม่รุนแรง
2) “จิตสำนึก” ของคนในชาติ
หลายๆ ครั้งในยามวิกฤต เราก็จะเห็นความร่วมมือกันของคนในชาติ
ทางเจ้าหน้าที่ WHO ได้พูดคุยกับคนหลายร้อยคนในอู่ฮั่น แล้วก็พบว่า ทุกคนแสดงออกถึงจิตสำนึก ที่จะต้องรับผิดชอบ (ชีวิตตัวเองและชีวิตผู้อื่น) คือ ทำทุกอย่าง เพื่อช่วยหยุด และป้องกันไม่ให้โรคแพร่ไปหาผู้อื่น
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ในยามที่อู่ฮั่นถูกปิดเมือง รถไฟที่วิ่งระหว่างเมือง แทบทุกขบวนวิ่งผ่าน ไม่จอดรับคนที่อู่ฮั่น เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนในเมืองต้องรับสภาพ
แต่วันหนึ่ง รถไฟขบวนที่เจ้าหน้าที่ WHO นั่งมาด้วยแล้วก็จอดที่อู่ฮั่น และก็มีอาสาสมัครอีกกลุ่มลงมาด้วย
ทั้งถืออุปกรณ์สเปรย์แอลกอฮอล์ มาช่วยทำความสะอาดเมือง และบุคลากรทางการแพทย์ มาช่วยทำศึกครั้งนี้
คือ พวกเขากำลังทำ “สงคราม” เพื่อสู้กับไวรัสตัวใหม่นี้ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา และบุคลากรทางการแพทย์ คือ “เหล่านักรบผู้กล้า”
แอดมินว่าข้อนี้ คนไทย มีไม่แพ้กัน ลองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ซึนามิ ที่เราก็ร่วมมือกันเพื่อผ่านวิกฤตไปได้ ช่วยกันบริจาคทั้งกำลังทรัพย์ แรงกาย และแรงใจ
แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนเราจะแตะ วิกฤต แบบไกลตัวหน่อย จึงยังมีบางคน (หรือบางผีน้อย) ที่ดูไม่ค่อยจะมีจิตสำนึก สักเท่าไหร่
3) ภาครัฐ (และเอกชน) เปลี่ยนบทบาทตัวเอง เพื่อรับสถานการณ์
ทั้งระบบขนส่งมวลชน, หน่วยงานต่างๆ เปลี่ยนหน้าที่เพื่อมาช่วยกันแก้ปัญหา โดยไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
ทุกหน่วยงาน รายงานตรงต่อทีมบริหารส่วนกลาง
4) พลังแห่งเทคโนโลยี
ข้อนี้แอดมินเชื่อว่า เพื่อนๆ ที่ได้เห็นตามสื่อต่างๆ ก็คงรู้สึกว้าวมากๆ กับจีน ที่ใช้มันทุกอย่าง ทั้ง Big Data, AI, Robot, การจ่ายเงินออนไลน์ มาช่วยในช่วงวิกฤต
การติดตามได้หมด ว่า คนที่ติดเชื่อ เคยไปที่ไหนมาบ้าง และมีโอกาสที่จะสัมผัสใครบ้าง ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
การจัดการโรงพยาบาล และสร้างโรงพยาบาลใหม่ (ซึ่งสร้างเร็วมากๆ ใช้เวลาแค่ 10 วัน) เพื่อแยกผู้ป่วย ตามอาการ
การสั่งอาหารออนไลน์ และส่งอาหารที่ถึงแม้จะส่งของไม่ครบบ้าง แต่ก็ยังมีข้าวกิน
5) การแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการทาง “วิทยาศาสตร์”
อย่าลืมว่าโลกได้รู้จักโควิด ยังไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งทางจีนเอง ก็พัฒนาแนวทางรับมือโรคไปแล้ว ถึง 6 ชุด ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ แถมยังขยายผลไปด้วย
ซึ่งเจ้าหน้าที่ WHO บอกว่า หากให้ WHO ทำคงใช้เวลามากกว่านี้
โดยสรุป นำข้อมูลสถานการณ์ มาวิเคราะห์ แล้วออกมาตรการรับมือ และมีจุดเด่นคือ Agile มากๆ เร็วมากๆ
โดยสรุป 5 เคล็ดลับความสำเร็จได้แก่
1) ให้ยาตามอาการ
2) “จิตสำนึก” ของคนในชาติ
3) ภาครัฐ (และเอกชน) เปลี่ยนบทบาทตัวเอง เพื่อรับสถานการณ์
4) พลังแห่งเทคโนโลยี
5) การแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการทาง “วิทยาศาสตร์”
อย่างที่บอกในตอนต้นว่า จีนพยายามใส่มาตรการเพื่อหยุดการแพร่ระบาด ทำให้กราฟจำนวนผู้ติดเชื้อ ไม่พุ่งขึ้นเป็นกราฟระฆังคว่ำ
ซึ่งต้องบอกว่า ตอนนี้จีนได้กลับมาแล้ว และกลับมาอย่างแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ประเทศอื่นๆ สถานการณ์กลับข้าง กลายเป็นฝ่ายที่ต้องพยายามหยุดการแพร่ระบาดแทน
แต่หากดูแล้ว ประเทศอื่นๆ คงได้เห็นวิธีการรับมือ โดยดูจีนเป็นตัวอย่าง
เชื่อว่าประเทศไทย มีเครื่องมือแก้ได้ครบทุกข้อ เหลือแค่ อาจต้องปลุกจิตสำนึกกันหน่อย โดยเฉพาะคนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ
แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน
════════════════
ช่วย SMEs นำเข้า-ส่งออก
════════════════
ที่มา: WHO report, Worldometer
💡ไม่อยากพลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ กดติดตาม
“นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า”
❤️ ช่วย SMEs ก้าวไกลไปทั่วโลก
👫 ร่วมกลุ่มผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก