สรุปผลกระทบ การ strike หยุดงาน US East Coast Port และการเตรียมตัวรับมือรอบต่อไป

สรุปผลกระทบ การ strike หยุดงาน US East Coast Port และการเตรียมตัวรับมือรอบต่อไป

การนัดหยุดงานที่ท่าเรือฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ได้สร้างความวุ่นวายอย่างมากในภาคโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน ท่าเรือหลักๆ เช่น นิวยอร์ก/นิวเจอร์ซีย์ ซาวันนา และฮูสตัน ซึ่งเป็นจุดนำเข้าสินค้าสำคัญ ถูกปิดชั่วคราว ทำให้มีเรือกว่า 40 ลำต้องจอดลอยลำ และส่งผลให้การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 1 ล้านตู้ถูกหยุดชะงัก บริษัทขนส่งหลายแห่งและผู้ให้บริการขนส่งสินค้าแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากคาดว่าท่าเรือจะเปิดทำการในวันศุกร์ แต่พบว่าท่าเรือบางแห่งยังคงปิดเพื่อจัดการปัญหาการดำเนินงาน ทำให้เกิดความโกลาหลเมื่อท่าเรือเปิดทำการอีกครั้ง

สาเหตุของการนัดหยุดงาน

ปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการนัดหยุดงานคือข้อขัดแย้งที่ยาวนานเกี่ยวกับการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในท่าเรือ สหภาพแรงงานที่แทนแรงงานท่าเรือได้คัดค้านการใช้ระบบอัตโนมัติอย่างหนัก เนื่องจากกังวลว่าอาจทำให้แรงงานตกงาน ในขณะที่ผู้ประกอบการท่าเรือและเจ้าของสถานีท่าเรือเห็นว่าการใช้ระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความแออัดของท่าเรือ และทำให้ท่าเรือของสหรัฐฯ สามารถแข่งขันกับท่าเรือนานาชาติได้ ปัจจุบันท่าเรือของสหรัฐฯ โดยเฉพาะฝั่งตะวันออก มีประสิทธิภาพต่ำกว่าท่าเรือในต่างประเทศอย่างมาก รายงานล่าสุดระบุว่าท่าเรือฟิลาเดลเฟียเป็นท่าเรือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของสหรัฐฯ แต่ก็อยู่ในอันดับที่ 50 เมื่อเทียบกับทั่วโลก ความไม่มีประสิทธิภาพนี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการท่าเรือเห็นว่าต้องแก้ไขด้วยการนำระบบอัตโนมัติมาใช้

ในการเจรจาที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อตกลงระยะยาวเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติได้ การยุติการนัดหยุดงานในครั้งนี้เป็นเพียงการหยุดพักชั่วคราว โดยข้อตกลงที่ทำไว้จะให้เวลา 100 วันก่อนที่จะกลับมาถกเถียงกันอีกครั้งในช่วงกลางเดือนมกราคมปี 2025

ผลกระทบในทันที

แม้ว่าการนัดหยุดงานจะสิ้นสุดลง แต่ผลกระทบยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะท่าเรืออย่างนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ซึ่งเกิดความแออัดสะสม การแก้ปัญหาความล่าช้าของตู้คอนเทนเนอร์และเรือที่รอจอดจะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการเคลียร์ ความแออัดแบบนี้เป็นเรื่องปกติในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าปัญหาจะถูกแก้ไขแล้ว แต่ “รถติด” ที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลานานกว่าจะคลี่คลาย นอกจากนี้ เรือยังพลาดกำหนดการจอดที่ท่าเรือ ส่งผลให้การขนถ่ายล่าช้าและสร้างปัญหาต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่อุปทานอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างตรงเวลา เช่น อุตสาหกรรมค้าปลีกและการผลิต

บริษัทขนส่งและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่พึ่งพาความพร้อมของตู้คอนเทนเนอร์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทขนส่งด่วน (drayage) ต้องเผชิญกับการยกเลิกงานหรือรอเวลานานที่ท่าเรือ ส่งผลให้สูญเสียรายได้และมีปัญหาในการดำเนินงานเพิ่มเติม

ความกังวลในระยะยาว

ข้อตกลงชั่วคราวนี้มีเวลาเพียง 100 วันก่อนที่จะมีการอภิปรายเรื่องระบบอัตโนมัติอีกครั้ง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดการนัดหยุดงานใหม่ในวันที่ 15 มกราคม 2025 วันที่นี้มีความเสี่ยงสูงเพราะเกิดขึ้นก่อนวันตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงเวลาสูงสุดที่ผู้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ มักจะเร่งขนส่งสินค้าเพื่อลดความล่าช้าจากการปิดทำการในประเทศจีน หากเกิดการนัดหยุดงานในช่วงเวลานี้ อาจทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่ต้องพึ่งพาสินค้าจากการนำเข้าช่วงนั้น

การเตรียมตัวสำหรับเดือนมกราคม

บริษัทโลจิสติกส์หลายแห่งและผู้นำเข้าสินค้ากำลังเริ่มวางแผนสำรองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในเดือนมกราคม บางรายอาจพยายามเร่งนำเข้าสินค้าให้เสร็จสิ้นภายในช่วงก่อนเกิดการนัดหยุดงาน เช่นเดียวกับที่เคยทำในเดือนมิถุนายนเมื่อมีความเสี่ยงที่จะเกิดการนัดหยุดงาน ในขณะที่บางรายกำลังพิจารณาเส้นทางทางเลือก เช่น การขนส่งผ่านท่าเรืออื่นๆ ในแคนาดาหรือเม็กซิโก แต่เส้นทางเหล่านี้ก็อาจเกิดความแออัดเช่นกันหากมีผู้นำเข้าสินค้าจำนวนมากใช้เส้นทางนี้

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ผลของการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อการใช้มาตรการภาษีที่เข้มงวดขึ้นและการสนับสนุนการผลิตในประเทศ ซึ่งอาจลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และส่งผลต่อโครงสร้างท่าเรือและห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ

สรุปประเด็นสำคัญ

  1. ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่: ข้อตกลงชั่วคราวนี้มีเวลาเพียง 100 วัน หากไม่สามารถหาทางออกในเรื่องระบบอัตโนมัติได้ การนัดหยุดงานอาจเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม 2025
  2. ความแออัดและการสะสมงาน: การนัดหยุดงานทำให้เกิดความแออัดอย่างหนักที่ท่าเรือฝั่งตะวันออก โดยบริษัทขนส่งและผู้นำเข้าสินค้าต้องเผชิญกับความล่าช้าและความไม่แน่นอน
  3. ข้อขัดแย้งเรื่องระบบอัตโนมัติ: อนาคตของท่าเรือสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของข้อขัดแย้งเรื่องการใช้ระบบอัตโนมัติ ผู้ประกอบการท่าเรือยืนยันว่าจำเป็นต้องใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อให้ท่าเรือมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สหภาพแรงงานต่อสู้เพื่อปกป้องงานของแรงงาน
  4. ความจำเป็นในการวางแผนสำรอง: ผู้นำเข้าสินค้าและบริษัทโลจิสติกส์ควรเริ่มวางแผนสำรองในกรณีที่เกิดการนัดหยุดงานอีกครั้ง เช่น การเร่งขนส่งสินค้า การใช้เส้นทางท่าเรือทางเลือก หรือการกระจายห่วงโซ่อุปทาน
  5. ผลกระทบจากการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นอีก ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและภาษี

ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติทำให้ชัดเจนว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นอีก บริษัทที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศควรเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในต้นปีหน้า

 

=========================

มองหา Green Supply Chain Solution

มองหา ZUPPORTS

ลงทะเบียนที่ zupports.co/register

=========================

 

ข่าวดี!! ZUPPORTS กำลังเปิดรับเจ้าของกิจการ Freight Forwarder ที่มีความเชี่ยวชาญในการขนส่งเส้นทางต่างๆ และสินค้าต่างๆ กันมาเป็น Partner เพิ่มเติม!

โดยบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเป็น Partner จะได้รับ

1. โอกาสในการเข้าถึง ผู้นำเข้าส่งออก ทั้งเล็ก กลาง และใหญ่

2. โอกาสในการเสนอราคาเฟรท / ฝากราคาขายไว้กับ platform ZUPPORTS

3. โอกาสในการประชาสัมพันธ์ บริษัทของท่าน ผ่านช่องทางต่างๆ ของ ZUPPORTS (email list, LINE, Facebook)

4. เข้าถึง Market Rate จากระบบ Freight Rate Trend สามารถเช็คราคา spot rate ในท้องตลาดได้

.

เจ้าของกิจการที่สนใจ ลงทะเบียนได้ที่

https://forms.gle/GLFjpF24GZ98uXsM7

 

—————————

 

พิเศษ! สัมมนาออนไลน์ TNSC Go Together Digital Day for Executives วันที่ 24 Oct 24 (13:30-16:30)
เสวนาในหัวข้อ
Session 1: AI และเทคโนโลยีเพื่อการนำเข้าส่งออกสำหรับผู้บริหาร
Session 2: กลยุทธ์ และแนวคิดการยกระดับ Supply Chain นำเข้าส่งออก ด้วยการทำ Digital Transformation
Session 3: “Green” เป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องทำ แต่ควรทำอย่างไรดี?
.
ผู้บริหาร, สมาชิกกลุ่ม ZUPPORTS
อยากเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
สมัครฟังเสวนานี้ได้เลย (ฟรี จำกัด 30 ท่าน)
https://forms.gle/Qttn65X5ZH47oTdv5

ข่าวสารอื่นๆ